ความเป็นมา
“เตย” เป็นเกมพื้นเมืองที่นิยมเล่นกันมากในภาคกลาง สมัยก่อน พบว่ามีการเล่นกันแล้วในช่วงปี พ.ศ. 2470 ในจังหวัดชัยนาท พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ฉะเชิงเทรา กรุงเทพ สมุทรสงคราม เป็นต้น สันนิษฐานว่า การเล่นเตยน่าจะพัฒนามากจากการวิ่งเล่นบนคันนาในชนบท เพราะลักษณะสนามเล่นจะเป็นตารางคล้ายกับพื้นที่นาในชนบท โดยเส้นต่างๆ จะเปรียบเสมือนคันนาที่ใช้เดิน วิ่งเล่นกันได้ ส่วนชื่อที่เรียกว่า “เตย” นั้น สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากลักษณะสนามเล่นที่เป็นตารางยาว มีเส้นกลางเป็นแกนมีเส้นตัดเป็นลำดับขั้น แตกกิ่งก้านออกไปคล้ายลำต้นและใบของพรรณไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “เตย” ซึ่งชาวบ้านนิยมนำมาใช้ปรุงกลิ่นหอมในการทำขนมและอาหารไทยบางชนิด บางท้องถิ่นมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น เรียกว่า “ตาล่อง” หรือ “บัลลูน” ก็มี เล่นกันทั้งในหมู่ผู้ใหญ่ คนหนุ่มสาวและเด็กๆ นิยมเล่นในงานเทศกาลตรุษสงกรานต์ หรืองานรื่นเริงทั่วไป
อุปกรณ์การเล่น
ไม่ใช้
สถานที่ และสนามเล่น สถานที่เป็นพื้นที่ราบโล่งเรียบ ขนาดประมาณ 10 ? 20 เมตร สนามเล่นเป็นเส้นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า กว้าง 9 เมตร ยาว 18 เมตร ให้เส้นด้านกว้างด้านหนึ่งเป็นเส้นหน้า อีกด้านหนึ่งเป็นเส้นหลัง ส่วนเส้นด้านยาวเป็นเส้นข้างซ้ายและเส้นข้างขวา จากกึ่งกลางเส้นหน้าถึงกึ่งกลางเส้นหลังทำเส้นตรง เรียกว่า เส้นกลาง แบ่งครึ่งสนามเล่นออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนด้านซ้ายและส่วนด้านขวา ทำเส้นขนานกับเส้นหน้าและเส้นหลังอีก 3 เส้น แบ่งสนามออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกัน หรือเท่ากับมีเส้นขนานจากเส้นหน้าไปจนถึงเส้นหลังรวม 5 เส้นด้วยกัน
วิธีเล่น
1. กำหนดผู้เล่นเป็น 2 ทีมๆ ละ 5 คน ให้ทีมหนึ่งเป็นฝ่ายรับ อีกทีมเป็นฝ่ายรุก ฝ่ายรับจะลงยืนรับประจำเส้นจากเส้นหน้าไปเส้นหลังคนละ 1 เส้น ให้หัวหน้าฝ่ายรับยืนอยู่เส้นหน้า ส่วนฝ่ายรุกให้ยืนอยู่นอกสนามด้านเส้นหน้า หันหน้าเข้าสนามกระจายเตรียมตัวพร้อมเล่น
2. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้ฝ่ายรุกวิ่งเข้าในสนามเล่นผ่านเส้นต่างๆ จากเส้นหน้าไปออกเส้นหลัง เรียกว่า “วิ่งลง” แล้ววิ่งย้อนกลับจากเส้นหลังออกมาเส้นหน้า เรียกว่า “วิ่งขึ้น” ให้ได้ โดยต้องพยายามไม่ให้ผู้เล่นฝ่ายรับแตะถูกตัว ส่วยผู้เล่นฝ่ายรับที่ยืนประจำเส้นแต่ละเส้นอยู่นั้น สามารถวิ่งเคลื่อนที่ไปบนเส้นของตนเพื่อไล่แตะฝ่ายรุกได้ สำหรับผู้เล่นที่ยืนอยู่บนเส้นหน้าสามารถวิ่งบนเส้นได้ทั้งเส้นหน้าและเส้น กลาง
3. การที่ผู้เล่นฝ่ายรุกคนหนึ่งวิ่งจากเส้นหน้าทะลุไปออกเส้นหลัง และสามารถวิ่งกลับจากเส้นหลังออกมาเส้นหน้าได้ อย่างนี้เรียกว่า “เตย”
4. หากผู้เล่นคนใดคนหนึ่งในฝ่ายรุก ถูกฝ่ายรับแตะตัว จะถือว่าตายทั้งทีม ฝ่ายรุกทั้งทีมจะต้องรีบออกไปเริ่มต้นเล่นใหม่จากนอกเส้นหน้าทุกครั้ง
5. เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ให้เปลี่ยนฝ่ายรุกเป็นฝ่ายรับ และฝ่ายรับกลับมาเป็นฝ่ายรุก 6. ทีมใดทำคะแนนที่เรียกว่า เตย ได้มากกว่า จะเป็นฝ่ายชนะ
กติกา
1. เวลาการเล่น ตามปกติ ให้ผลักกันเป็นฝ่ายรุกทีมละครั้งๆ ละ 5 นาที ในกรณีเสมอกันให้ผลักกันเป็นฝ่ายรุกอีกทีมละ 1 นาทีเรื่อยไป จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ
2. ผู้เล่นฝ่ายรับจะต้องวิ่งเหยียบ หรือให้เท้าทั้งสองอยู่บนเส้นที่ตนรับผิดชอบ การเคลื่อนไหวใดๆ เช่น การเคลื่อนที่ไปแตะถูกตัวผู้เล่นฝ่ายรุกได้แล้ว ก็จะต้องทรงตัวให้เท้าทั้งสองอยู่บนเส้นที่ตนรับผิดชอบเสมอ
3. ผู้เล่นฝ่ายรุกสามารถวิ่งอยู่ภายในกรอบของสนาม คือระหว่างเส้นข้างทั้งสองเส้นได้ แต่จะเหยียบหรือล้ำออกนอกเส้นข้างไม่ได้ สามารถวิ่งไปทางด้านซ้ายหรือด้านขวาภายในสนามเล่นที่อยู่ช่องขนานเดียวกัน ได้ แต่จะวิ่งย้อนกลับเส้นที่ตนเคยวิ่งผ่านมาแล้วในแนววิ่งลง หรือแนววิ่งขึ้นไม่ได้
4. การฝ่าฝืนกติกาโดยผู้เล่นฝ่ายรุกจะถือว่าฝ่ายรุกตาย ต้องรีบออกไปเริ่มต้นเล่นใหม่ทุกครั้ง การฝ่าฝืนกติกาโดยผู้เล่นฝ่ายรับต้องปล่อยให้ฝ่ายรุกเล่นต่อไป โดยถือหลักให้ประโยชน์แก่ฝ่ายที่ไม่ได้ทำผิด การฝ่าฝืนกติกาที่มีลักษณะรุนแรง เจตนากระทำผิด หรือกระทำผิดซ้ำซาก ผู้ตัดสินอาจพิจารณาปรับฝ่ายที่ฝ่าฝืนกติกาให้เป็นฝ่ายแพ้ได้
5. เมื่อผู้เล่นฝ่ายรุกคนใดสามารถวิ่งทำเตยได้แล้ว จะต้องรออยู่นอกเส้นด้านหน้าจนกว่าทุกคนในทีมจะวิ่งทำเตยได้ครบ หรือจนกว่าจะเกิดการตายขึ้นแล้วจึงเริ่มต้นเล่นใหม่ต่อไป
6. เมื่อหมดเวลาการเล่นแล้ว หากทั้งสองทีมทำคะแนนที่เรียกว่า เตย ได้เท่ากัน ให้พิจารณาจากผลบวกของคะแนนแต่ละช่องที่แต่ละทีมทำได้ในการเล่นเป็นฝ่ายรุก ครั้งสุดท้าย ขณะที่ได้ยินสัญญาณหมดเวลาการเล่น ( เมื่อได้ยินสัญญาณหมดเวลาการเล่น ให้ผู้เล่นฝ่ายรุกทุกคนหยุดอยู่กับที่ เพื่อตรวจสอบคะแนนแต่ละช่องที่ทำได้ ) คะแนนแต่ละช่องที่ทำได้จะมาจาก จำนวนผู้เล่นที่อยู่ในช่องคูณด้วยคะแนนประจำช่อง คะแนนประจำช่องได้แก่ จากเส้นหน้าลงไปจะนับเป็นช่องที่ 1 ( 1คะแนน ) ช่องที่ 2 ( 2 คะแนน ) ช่องที่ 3 ( 3 คะแนน ) ช่องที่ 4 ( 4 คะแนน ) จากเส้นหลังขึ้นมาจะนับเป็นช่องที่ 5 ( 5 คะแนน ) ช่องที่ 6 ( 6 คะแนน ) ช่องที่ 7 ( 7 คะแนน ) ช่องที่ 8 ( 8 คะแนน ) ทีมที่ได้คะแนนมากกว่าจะถือว่าเป็นทีมชนะ
งูกินหาง
ความเป็นมา
งูกินหางเป็นเกมพื้นเมืองเก่า เล่นกันทุกภาคของประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ พบว่ามีการเล่นงูกินหางกันแล้วในงานตรุษสงกรานต์ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2475 คำว่า “งู” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “a snake” คำว่า “กิน” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “to eat” และคำว่า “หาง” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “a tail” การเล่นงูกินหางเป็นการเล่นเลียนแบบชีวิตสัตว์ คือ เลียนแบบลักษณะท่าทางของงูที่มีลำตัวยาวเลื้อยคดไปคดมา นิยมเล่นในงานเทศกาล งานประจำปี และงานรื่นเริงต่างๆ ในสมัยก่อน
อุปกรณ์การเล่น หางงูที่ทำจากผ้าหรือกระดาษขมวดเป็นเกลียวยาวเท่าๆ กัน 2 หาง
สนามที่และสนามเล่น สถานที่เป็นพื้นที่โล่งราบเรียบ ขนาดประมาณ 15 ? 15 เมตร สนามเล่นทำเส้นเป็นวงกลมรัศมี 6 เมตร
วิธีเล่น
1. กำหนดผู้เล่นเป็น 2 ทีมๆละ 6 คน แต่ละฝ่ายยืนเป็นแถวตอนใช้มือจับเอวต่อกันไว้ ทั้งสองทีมยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่คนละด้านของนอกวงกลม คนสุดท้ายของแต่ละทีมให้เหน็บหางไว้ด้านหลัง โดยให้หางโผล่ออกมาข้างนอกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
2. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้หัวแถว (หัวงู) แต่ละฝ่านนำขบวนเดินเคลื่อนเข้าหากัน คนที่อยู่หัวแถวจะต้องพยายามหาทางเข้าแย่งหางของฝ่ายตรงข้าม ส่วนคนที่อยู่หางแถวต้องพยายามหลบหลีกไม่ให้ถูกแย่งหางออกจากตัวไปได้
3. ทีมใดสามารถคว้าหางของฝ่ายตรงข้ามมาถือไว้ในมือได้ จะเป็นฝ่ายชนะ
กติกา
1. ขณะเคลื่อนที่ไล่คว้าหางกันนั้น แต่ละทีมต้องระวังไม่ให้มือที่จับกันหลุดจากขบวน
2. อนุญาตให้คนหัวแถวของแต่ละฝ่าย ใช้การแบมือเพื่อผลักดัน ปัด ป้องการแย่งของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่จะต้องไม่กำมือ หรือชก ต่อย ทุบ ตี ทิ่ม แทง ต้องไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ในขบวนจะใช้มือผลักดัน ปัดป้องไม่ได้โดยเด็ดขาด
3. ห้ามไม่ให้ผู้เล่นของแต่ละทีมใช้มือจับหางไว้ หรือใช้ชายเสื้อหรือสิ่งอื่นมาปกคลุมหางของทีมตนไว้
4. ทีมใดมือที่จับต่อกันเป็นขบวนนั้นหลุดออกจากขบวนทั้งสองมือ หรือหางของทีมตนหลุดลงสู่พื้น หรือฝ่าฝืนกติกา จะถูกปรับเป็นฝ่ายแพ้
ช้อนมะนาว
ความเป็นมา
นิยมเล่นกันในจังหวัดกรุงเทพฯ และธนบุรีในสมัยเก่ามาก่อน แล้วจึงแพร่หลายไปอย่างจังหวัดต่างๆ จากหลักฐานพบว่ามีการเล่นแล้วในรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการเรียนการสอนวิชากายกรรมให้แก่นักเรียนนายร้อย เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๙ โดยมีการสอนการเล่นเกมและกีฬาพื้นเมืองไทยหลายชนิดด้วยกัน หนึ่งในนั้นปรากฏชื่อกีฬาวิ่งช้อนมะนานวด้วย นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเล่นกีฬาที่คล้ายคลึงกับกีฬาช้อนมะนาวคือ มีการเล่นกีฬาที่ใช้ช้อนเป็นเครื่องมือในการเล่นอื่นๆด้วย ดังปรากฏในร.ศ. ๑๓๐ ในการกรีฑานักเรียนของโรงเรียนต่างๆ ในเมืองภูเก็ต เล่นได้ทุกโอกาสที่ว่าง
ผู้เล่น เล่นได้ทุกเพศทุกวัย จำนวนผู้เล่นตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
๑. ช้อนขนาดเท่ากัน คนละ ๑ อัน
๒. มะนาวขนาดเท่ากัน คนละ ๑ ลูก
สถานที่เล่น บริเวณสนามหญ้าหรือลานกว้างทั่วไป โดยกำหนดเส้นเริ่มไว้ที่พื้นด้านหนึ่งของสนาม ห่างจากเส้นเริ่มเป็นระยะประมาณ ๔๐ – ๕๐ เมตร ให้ทำเส้นชัยขนานกับเส้นเริ่มไว้ที่พื้น
วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นแต่ละคนถือช้อนไว้คนละ ๑ อัน ให้ช้อนมีผลมะนาววางอยู่คนละ ๑ ลูก ยืนอยู่ที่หลังเส้นเริ่มเป็นแถวหน้ากระดาน มีระยะห่างกันพอประมาณ
๒. เมื่อได้ยิรสัญญาณเริ่มเล่น ให้ผ็เล่นแต่ละคนวิ่งถือช้อนที่มีมะนาววางอยู่นั้นแข่งกันไปให้ถึงเส้นชัยโดยเร็วที่สุด
๓. ผู้เล่นคนใดไปถึงเส้นชัยก่อนคนอื่นจะเป็นผู้ชนะ
กติกา
๑. ขณะวิ่งแข่งขัน ถ้าผลมะนาวหล่นจากช้อนจะถือว่าผู้นั้นแพ้ บางท้องถิ่นอาจยอมให้เล่นต่อโดยวิ่งกลับไปยังเส้นเริ่มแล้วเริ่มเล่นจากเส้นเริ่มมาใหม่
๒. ระหว่างวิ่งแข่งขันห้ามผู้เล่นกลั่นแกล้งกัน ถ้าผู้เล่นคนใดกลั่นแกล้งผู้เล่นอ่นจะถือว่าแพ้
๓. ให้มีกรรมการ ๑ คน ทำหน้าที่ควบคุมการเล่นและตัดสินผลการแข่งขัน
แข่งว่าว
ความเป็นมา
แข่งว่าวเป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่เล่นกันโดยทั่วไปในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง เช่น กาญจนบุรี อ่างทอง ฉะเชิงเทรา เป็นต้น กีฬาแข่งว่าวเป็นลักษณะการเล่นแข่งขันว่าวอีกลักษณะหนึ่งที่มีลักษณะและวิธีการแตกต่างออกไปจากการแข่งขันว่าวโดยทั่วๆไป ซึ่งมักจะมีการแข่งว่าวเพื่อความสูงและการแข่งว่าวมีเสียง แต่การแข่งว่าวของจังหวัดสุพรรณบุรีจะมีลักษณะเป็นการแข่งขันชักว่าวให้มีขึ้นในระยะทางที่กำหนด และด้วยความยาวของด้ายหรือเชือกที่ใช้ชักที่จำกัดด้วย จึงเป็นการเล่นแข่งขันอีกลักษณะหนึ่งที่ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยทั่วไป และมักจะจัดให้มีการแข่งขันกันในโอกาสงานรื่นเริงต่างๆด้วย กีฬาว่าวเป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีการเล่นสืบทอดมาแต่โบราณ มีประวัติความเป็นมามากมาย จากหลักฐานพบว่ามีการเล่นว่าวมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย และเป็นที่นิยมสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันกีฬาว่าวเป็นกีฬาที่มีกฏระเบียบกติกาเคร่งครัด มีการแข่งขันหลายประเภท งการแข่งขันเพื่อความสนุกสนานและการแข่งขันในลักษณะว่าวพนัน มีรูปแบบที่เป็นกีฬาสากลไปมากแล้ว ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะกีฬาแข่งว่าวของภาคกลางที่ยังมีลักษณะเป็นกีฬาพื้นเมืองอยู่เท่านั้น ปัจจุบันการแข่งว่าวในลักษณะง่ายๆแบบพื้นเมืองของชาวภาคกลางไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงและพัฒนาเป็นการแข่งว่าวในลักษณะกีฬาสากล เช่น ว่าวพนันจุฬากับปักเป้าไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังพบการเล่นว่าวเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เป็นกีฬาเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน เล่นได้ทุกโอกาสที่ว่าง
ผู้เล่น เล่นไก้ทุกเพศทุกวัย จำนวนผู้เล่นตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
๑. ว่าวชนิดเดียวกัน มีขนาดพอๆกัน คนละ ๑ ตัว
๒. ด้ายหรือเชือกสำหรับผูกว่าวชักให้ลอยในอากาศ ความยาวๆเท่าๆกัน คนละ ๑ ม้วน
๓. หลักเล็กๆ และธงเล็กๆจำนวน ๑ อัน สถานที่เล่น บริเวณสนามหญ้ากว้างใหญ่มีลมพัดแรง เช่น บริเวณทุ่งนา เป็นต้น กำหนดเส้นริ่มต้นเป็นเส้นยาว จากเส้นเริ่มตินเป็นระยะทางประมาณ ๕๐ – ๑๐๐ เมตร ปักหลักไว้ที่พื้นเป็นแนวยาว ขนานกับเส้นเริ่มเท่ากับจำนวนผู้เล่น ห่างจากหลักเป็นระยะทางประมาณ ๔๐ – ๕๐ เมตร ให้ปักธงไว้ตรงกับแนวกึ่งกลางของหลักจำนวน ๑ อัน
วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นแต่ละคนถือว่าวพร้อมเชือกถูกว่าว ยืนเตรียมพร้อมอยู่หลังเส้นเริ่มเป็นระยะห่างกันพอประมาณ
๒. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้ผ็เล่นแต่ละคนปล่อยว่าวของตนให้ลอยขึ้นในอากาศแข่งกันวิ่งชักว่าวให้ลอยอยู่ในอากาศจนสุดความยาวเชือกที่มีอยู่จากนั้นวิ่งนำเชือกไปผูกไว้กับหลักของตน เมื่อผูกเชือกเรียบร้อยแล้วให้รีบวิ่งไปคว้าธงมาถือไว้
๓. ผู้เล่นคนใดสามารถชักว่าวขึ้นในอากาศและวิ่งไปคว้าธงได้ก่อนโดยว่าวของตนไม่ตกดินจะเป็นผู้ชนะ
กติกา
๑. ว่าวแข่งขันและเชือกแข่งขัน ต้องมีขนาดและความยาวเท่ากันทุกคน
๒. ตลอดระยะเวลาแข่งขันเมื่อสามารถชักว่าวลอยอยู่ในอากาศได้แล้วต้องปล่อยจนสุดความยาวเชือกที่มีอยู่ และเมื่อผูกเชือกติดกับหลักจนวิ่งไปคว้าธงมาถือนั้น ว่าวจะต้องลอยอยู่ในอากาศตลอดเวลา ถ้าว่าวตกลงดินก่อนคว้าธงมาถือจะต้องกลับไปชักว่าวให้ลอยในอากาศใหม่ก่อนจึงจะวิ่งมาคว้าธงได้
๓. ให้มีกรรมการอย่างน้อย ๑ คน ทำหน้าที่ควบคุมการเล่นและตัดสินผลการแข่งขัน
แข่งเรือคน
ความเป็นมา
แข่งเรือคนเป็นกีฬาพื้นเมืองของภาคกลาง พบว่ามีการเล่นแข่งเรือคนกันแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๘๐ แข่งเรือคนมีการเล่นกันแพร่หลายแทบทุกจังหวัด เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา และ สุพรรณบุรี บางแห่งมีการเล่นแบบเดียวกันแต่เรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น จังหวัดอยุธยา เรียกว่า “แข่งเรือกบ” จังหวัดสุพรรณบุรี เรียกว่า “แข่งเรือโดยวิธีซ่อนพาย” จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า “ซ่อนเรือ” เป็นต้น การเล่นแข่งเรือคนเป็นการเล่นเลียนแบบการแข่งเรือใช้น้ำโดยใช้คนนั่งต่อๆกันเป็นแถวตอน ๒ แถวขนานกัน สมมติว่าเป็นลำเรือแต่ละแถวจะผลัดกันซ่อนสิ่งของที่ตกลงกันไว้ที่ผู้เล่นในแถวแล้วผลัดกันทายแถวใดทายถูกจะได้เลื่อนคนท้ายขึ้นไปนั่งข้างหน้า แถวใดถึงเส้นชัยก่อนจะชนะการเล่นแข่งเรือคนเป็นการเล่นของคนหนุ่มสาวสมัยก่อน เล่นกันในเทศกาลงานรื่นเริงต่างๆ เช่น วัน ตรุษสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ และวันที่มีงานรื่นเริงประจำปี เป็นต้น ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเล่นกันแล้ว จะมีการเล่นอยู่บ้างในเขตชนบทซึ่งกลายเป็นกีฬาที่เล่นกันในหมู่เด็กๆเล่นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ผู้ใหญ่ไม่นิยมเล่นกันแล้ว
ผู้เล่น
เล่นได้ทุกเพศทุกวัย สมัยก่อนมักจะเล่นกันในหมู่คนหนุ่มสาว โดยแบ่งผู้เล่นออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายละเท่าๆกัน จำนวนผู้เล่นแต่ละฝ่ายไม่ควรน้อยกว่าฝ่ายละ ๕ – ๗ คน บางแห่งนิยมจัดให้ผู้ชายเป็นฝ่ายหนึ่ง หญิงเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง
อุปกรณ์การเล่น
ไม้สั้นๆ ๒ อัน ขนาดเท่าๆกันพอใช้มือกำได้มิด จะให้เด่นชัดควรทาสีไว้ที่ไม้ด้วย เช่น ทาสีแดง สีเหลือง หรือสีเขียว เป็นต้น เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นไม้ของกลางจริง
สถานที่เล่น
บริเวณลานกว้าง เช่น ลานบ้าน ลานวัด หรือบริเวณลานกว้างใต้ร่มไม้ กำหนดเส้นยาวไว้ที่พื้นดินเป็นเส้นเริ่ม จากเส้นเริ่มเป็นระยะห่างประมาณ ๑๐ – ๒๐ เมตร ตามแต่จะตกลงกันไว้ ให้เขียนเส้นยาวไว้ที่พื้นเป็นเส้นชัย
วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นแต่ละฝ่ายคัดเลือกหัวหน้าของแต่ละฝ่ายมาตกลงกันเกี่ยวกับลำดับการเล่นว่าฝ่ายใดจะได้เล่นก่อน เมื่อทราบแล้วให้หัวหน้าของแต่ละฝ่ายจัดผู้เล่นของตนเข้าแถวตอนเรียงหนึ่ง ให้คนหัวแถวอยู่ที่เส้นเริ่มหันหน้าไปทางเส้นชัย ระยะระหว่างแถวของแต่ละฝ่ายห่างกันประมาณ ๒ – ๓ เมตร แล้วหัวหน้าของแต่ละฝ่ายจัดผู้เล่นของตนให้นั่งลงเหยียดเท้าต่อกันเป็นแถวตอนให้ปลายเท้าของคนอยู่หัวแถวอยู่ที่เส้นเริ่มต้นพอดี ทั้งสองแถวจะต้องจัดให้ผู้เล่นในแถวของตนนั่งในลักษณะติดกัน จะได้เป็นแถวตอน ๒ แถว สมมติว่าเป็นเรือ ๒ ลำ โดยมีผู้เล่นที่เป็นหัวหน้าของแต่ละแถวยืนกำกับอยู่ที่แถวของตนสมมติว่าเป็นนายเรือหรือผู้ควบคุมเรือ
๒. เมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มเล่น ให้นายเรือของแถวที่ได้สิทธิเล่นก่อนถือไว้ในมือ เดินไปซ่อนไม้ในมือของตนไว้ที่มือผู้เล่นในแถวของตนคนใดคนหนึ่ง การซ่อนจะต้องพยายามแสดงอาการหลอกไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าซ่อนไว้ที่ผู้เล่นคนใด เมื่อซ่อนเสร็จแล้วให้มายืนอยู่ที่หัวแถวของตน จากนั้นจะให้นายเรือของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มาทายว่าไม้นั้นอยู่ที่ผู้เล่นคนใด โดยนายเรือของฝ่ายตรงข้ามสามารถเดินตรวจดูได้ ถ้านายเรือของฝ่ายตรงข้ามทายผิด จะถือว่าฝ่ายซ่อนไม้ชนะ ให้ผู้เล่นคนสุดท้ายของแถวฝ่ายซ่อนไม้ลุกขึ้นไปนั่งต่อแถวข้างหน้าในแนวตรงกับคนหัวแถว แต่ถ้าฝ่ายทายสามารถทายถูก ก็จะได้สิทธิให้คนสุดท้ายของแถวฝ่ายทายลุกขึ้นไปนั่งต่อหัวแถวเช่นกัน
๓. ให้ผลัดกันซ่อนและผลัดกันทายฝ่ายละครั้ง เรื่อยไปจนกว่าฝ่ายใดจะต่อแถวของตนไปถึงเส้นชัยก่อน ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ
กติกา
๑. การนั่งเหยียดเท้าต่อแถวต้องต่อให้ติดชิดกัน จะเว้นระยะห่างไม่ได้และการนั่งจะต้องนั่งเท้าติดกัน
๒. เมื่อมีการทายทุกครั้ง ผู้เล่นที่ถูกทายว่ามีไม้ในมือจะต้องลุกขึ้นยืนแบมือให้ดู ถ้าผิดตัวให้คนที่มีไม้อยู่ลุกขึ้นแบมือให้ดูไม้ที่อยู่กับตัวด้วย เพื่อความยุติธรรม
๓. ฝ่ายใดฝ่าฝืนกติกาจะถือว่าเสียสิทธิ์ในการเล่นครั้งนั้น ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามที่มิได้ทำผิดได้สิทธิเดินขึ้นไปนั่งต่อแถวข้างหน้าฟรี ๑ คน
๔. ให้มีกรรมการอย่างน้อย ๑ คน ทำหน้าที่ควบคุมการเล่นและตัดสินผลการแข่งขัน
๑๒. แข่งว่าว
ความเป็นมา
แข่งว่าวเป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งที่เล่นกันโดยทั่วไปในจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง เช่น กาญจนบุรี อ่างทอง ฉะเชิงเทรา เป็นต้น กีฬาแข่งว่าวเป็นลักษณะการเล่นแข่งขันว่าวอีกลักษณะหนึ่งที่มีลักษณะและวิธีการแตกต่างออกไปจากการแข่งขันว่าวโดยทั่วๆไป ซึ่งมักจะมีการแข่งว่าวเพื่อความสูงและการแข่งว่าวมีเสียง แต่การแข่งว่าวของจังหวัดสุพรรณบุรีจะมีลักษณะเป็นการแข่งขันชักว่าวให้มีขึ้นในระยะทางที่กำหนด และด้วยความยาวของด้ายหรือเชือกที่ใช้ชักที่จำกัดด้วย จึงเป็นการเล่นแข่งขันอีกลักษณะหนึ่งที่ชาวบ้านสมัยก่อนนิยมเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยทั่วไป และมักจะจัดให้มีการแข่งขันกันในโอกาสงานรื่นเริงต่างๆด้วย กีฬาว่าวเป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ที่มีการเล่นสืบทอดมาแต่โบราณ มีประวัติความเป็นมามากมาย
จากหลักฐานพบว่ามีการเล่นว่าวมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย และเป็นที่นิยมสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือพงศาวดารเหนือเกี่ยวกับการเล่นของเด็กในสมัยนั้นว่า “…แลพระยาร่วงขณะนั้นคะนองนักมักเล่นเบี้ยและเล่นว่าว ไม่ถือตัวว่าเป็นท้าวเป็นพยา…”
ปัจจุบันกีฬาว่าวเป็นกีฬาที่มีกฏระเบียบกติกาเคร่งครัด มีการแข่งขันหลายประเภท งการแข่งขันเพื่อความสนุกสนานและการแข่งขันในลักษณะว่าวพนัน มีรูปแบบที่เป็นกีฬาสากลไปมากแล้ว ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะกีฬาแข่งว่าวของภาคกลางที่ยังมีลักษณะเป็นกีฬาพื้นเมืองอยู่เท่านั้น ปัจจุบันการแข่งว่าวในลักษณะง่ายๆแบบพื้นเมืองของชาวภาคกลางไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงและพัฒนาเป็นการแข่งว่าวในลักษณะกีฬาสากล เช่น ว่าวพนันจุฬากับปักเป้าไปหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังพบการเล่นว่าวเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เป็นกีฬาเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
แข่งเรือ
ความเป็นมา
แข่งเรือเป็นกีฬาพื้นเมืองเก่าแก่ชนิดหนึ่งของไทย ที่มีการเล่นสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ สันนิษฐานว่าน่าจะมีการเล่นแข่งเรือกันแล้วในสมัยสุโขทัย เพราะการศึกสงครามในสมัยก่อนมีทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งต้องใช้เรือเป็นพาหนะ ย่อมต้องมีการฝึกฝนการพายเรือ แข่งเรือด้วยแต่ไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร จากฟลักฐานพบว่ามีการเล่นแข่งเรือกันแล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏในกฏมณเฑียรบาลเกี่ยวกับพระราชพิธีต่างๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้กล่าวถึงพระราชพิธีประจำเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นการอาษยุชพิธีนั้นจะมีพิธีแข่งเรือด้วย นอกจากนี้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ยังได้กล่าวถึงการเล่นแข่งเรือของชาวบ้านในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมักมีการเล่นการพนันปะปนอยู่ด้วยและเป็นการเล่นที่นิยมกันมากในสมัยนั้นทีเดียว
การเล่นแข่งเรือนับว่าเป็นกีฬาพื้นเมืองที่นิยมเล่นสืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แม้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏหลักฐานว่ามีการเล่นแข่งเรือกันเป็นประจำเสมอมา เช่น ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เมื่อครั้งทรงโปรดให้ปรับปรุงพระราชวัง มีการขุดสระภายในพระราชวังใน พ.ศ. ๒๓๖๑ ก็ทรงโปรดให้มีการแข่งเรือในครั้งนั้นด้วย ในสมัยรัชกาลที่ ๕ การแข่งเรือเป็นกีฬาที่เล่นกันอย่างแพร่หลาย เมื่อมีชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนก็ได้จัดการเล่นแข่งเรือให้พวกชาวต่างชาติชมด้วย ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งความว่า
“เยนวันนี้มีกานแข่งนาวา ที่กรงน่าตำหนักแพแม่น้ำใหญ่
เรือที่นั่งกราบสี่เอกไชย มาพายให้เจ้าฝรั่งเขานั่งดู”
(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว, ๒๔๕๖ : ๑๕)
การเล่นแข่งเรือคือของชาวบ้านในภาคกลางสมัยก่อนมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทำบุญทำกุศล คือ ชาวบ้านจะเล่นกันในเทศกาลทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือน ๑๐ – ๑๒ ซึ่งระยะนี้จะเป็นช่วงฤดูน้ำมาก ชาวบ้านที่อยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำจะใช้เรือเป็นพาหนะเมื่อมีงานพิธีทำบุญจะมีการแห่แหนกันทางนั้นเพื่อนำองค์กฐิน องค์ผ้าป่าไปยังวัด เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาแล้วก็จะมีการเล่นแข่งเรือกัน ซึ่งถือกันว่าผู้ที่ร่วมแข่งขันจะได้บุญอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้การเล่นแข่งเรือยังมีการเล่นเพื่อจุดมุ่งหมายอีกหลายประการ เช่น บางท้องถิ่นจะจัดให้มีการแข่งเรือในงานทำบุญไหว้พระประจำปีของแต่ละท้องถิ่น บางแห่งจะมีการแข่งเรือเพื่อเป็นการบวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือ บางแห่งจัดให้มีการเล่นแข่งเรือในงานเทศกาลสนุกสนานรื่นเริงต่างๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การแข่งเรือมักนิยมจัดให้มีการเล่นเฉพาะในฤดูน้ำมากเท่านั้น การเล่นแข่งเรือของชาวบ้านสมัยก่อนในภาคกลางมักจัดเป็นประเพณีประจำปี และมีการเล่นเป็นที่แพร่หลายแทบทุกจังหวัด เช่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ กาญจนบุรี กรุงเทพฯ จันทบุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี สิงห์บุรี และนครสวรรค์ เป็นต้น ไม่เพียงแต่ภาคกลางเท่านั้นที่นิยมเล่นการแข่งเรือ แต่ภาคอื่นๆทุกๆภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ก็ล้วนมีการแข่งเรือเป็นเทศกาลสำคัญของแต่ละภาคทั้งสิ้น อาจกล่าวได้ว่าการแข่งเรือเป็นกีฬาพื้นเมืองของชาติไทยโดยแท้ก็ว่าได้เพราะมีการเล่นเป็นที่ยอมรับว่ามีความสำคัญในทุกๆภาคของประเทศ ในปัจจุบันการเล่นแข่งเรือยังมีเล่นกันอยู่โดยทั่วไป
โอกาสที่เล่น
เล่นกันในโอกาสงานทำบุญต่างๆ เช่น งานเข้าพรรษา งานออกพรรษา ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า งานไหว้พระ และงานรื่นเริงต่างๆ มักจัดให้มีการแข่งเรือกันในช่วงฤดูน้ำมาก โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยไป และจัดกันมากขึ้นในช่วงราวเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
ผู้เล่น
เล่นได้ทั้งชายและหญิง ส่วนมากจะเล่นกันในหมู่ผู้ใหญ่ โดยจะจัดผู้เล่นเป็นชุดหรือเป็นทีมประจำเรือแต่ละลำ จำนวนผู้เล่นแต่ละทีมจะมากน้อยแล้วแต่ละจะตกลงกัน และขึ้นอยู่กับขนาดของเรือที่จะใช้แข่งขัน แต่มักจัดผู้เล่นแต่ละทีมให้มีจำนวนผู้เล่นทั้งหญิงและชายพอๆกัน บางท้องที่อาจจัดแข่งขันในระหว่างทีมชายกับทีมหญิง ซึ่งฝ่ายทีมชายมักจะต่อจำนวนให้ผู้เล่นทีมหญิงมีจำนวนมากกว่า เป็นต้น นิยมเล่นทีมละตั้งแต่ ๒ – ๓ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
๑. เรือพายที่มีขนาดเล็กใหญ่ตามแต่จะตกลงกัน ชนิดของเรือที่ใช้แข่งขันกันมีหลายประเภท เช่น เรือแจว เรือบด เรือเพรียว เรือเข็ม เรือยาว เรือเผ่นม้า เรือมาด และเรือสำปั้น เป็นต้น มักจะใช้เรือที่มีชนิดและประเภทเดียวกันเข้าแข่งขันกัน จำนวนทีมละ ๑ ลำ
๒. พายสำหรับใช้พายเรือ มีขนาดใกล้เคียงกัน คนละ ๑ อัน
สถานที่เล่น
เล่นในแม่ย้ำลำคลอง บึง ทะเลสาบหรือบริเวณที่มีแหล่งน้ำกว้าง โดยจะกำหนดให้มีแนวยาวเป็นทุ่นหรือปักธงไว้ที่ริมตลิ่งเป็นแนวตรงและเป็นแนวยาวกั้นทั้งสองฝั่งเพื่อเป็นเส้นเริ่ม จากเส้นเริ่มเป็นระยะห่างตามแต่จะตกลงกัน (โดยมากมักแข่งกันเป็นระยะทางตั้งแต่ ๒๐๐ เมตรขึ้นไป) จะกำหนดแนวยาวโดยใช้ทุ่นหรือปักธงไว้ที่ริมตลิ่งทั้ง ๒ ด้าน เพื่อเป็นแนวเส้นชัย
วิธีเล่น
๑. เมื่อตกลงกันแล้วว่าเรือทีมใดจะแข่งกับทีมใด อาจมีจำนวนตั้งแต่ ๒ ลำขึ้นไปถึงหลายๆลำ ให้เรือแต่ละลำไปเตรียมพร้อมอยู่ที่เส้นเริ่ม หันหัวเรือไปทางเส้นชัย แต่ละลำให้มีระยะห่างกันพอสมควร
๒. เมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มแข่งขัน ให้ผู้เล่นของเรือแต่ละลำช่วยกันพายเรือของตนไปให้ถึงเส้นชัยโดยเร็วที่สุด
๓. เรือลำใดไปถึงเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะ
๔. บางท้องถิ่นจะใช้ธงติดทุ่นลอยไว้กลางแนวเส้นชัย เรือลำใดพายไปถึงธงและคว้าธงไว้ได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ
๕. บางท้องถิ่นจะใช้เรือยาว ซึ้งต้องใช้คนพายมาก ๒๐ – ๔๐ คน เรียกว่า “แข่งเรือยาว” จะมีคนหนึ่งคอยให้จังหวะในการพาย มีการตีกรับ เคาะไม้ตีกลองเป็นจังหวะ เพื่อให้ทุกคนในเรือพายโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นที่สนุกสนานครื้นเครงโดยทั่วกัน
กติกา
๑. ก่อนเริ่มเล่นเรือทุกลำจะต้องลอยลำให้หัวเรือเสมอกันที่แนวเส้นเริ่ม
๒. ระหว่างพายแข่งขันกันห้ามผู้เล่นของเรือแต่ละลำกลั่นแกล้งเรือลำอื่น
๓. ระหว่างพายแข่งขันกัน เรือลำใดจมระหว่างทางจะถือว่าหมดสิทธิจากการแข่งขัน และเรือลำใดฝ่าฝืนกติกาจะถือว่าหมดสิทธิในการแข่งขันเช่นกัน
๔. ให้มีกรรมการอย่างน้อย ๒ คน ทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันที่เส้นเริ่มและเส้นชัย และตัดสินผลการแข่งขัน
แข่งเกวียน
ความเป็นมา
แข่งเกวียนเป็นกีฬาพื้นเมืองที่เล่นกันมากในจังหวัดอ่างทอง เป็นการเล่นเลียบแบบชีวิตของชาวบ้านในสมัยก่อนที่มีความจำเป็นต้องใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทางโดยใช้โคหรือกระบือลากเกวียนไป พบว่าชาวบ้านนิยมเล่นแข่งเกวียนจริงๆกันมานานแล้ว สันนิษฐานว่าน่าจะมีการเล่นแข่งเกวียนแล้วในสมัยกรุงสุโขทัย ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการเล่นโคเกวียนปรากฏในหนังสือนางนพมาศ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาปรากฏหลักฐานมีการเล่นลักษณะเดียวกันกับกีฬาแข่งเกวียนคือการเล่นวัวเกวียน ดังปราฏกในวรรณคดีเรื่อง สมุทรโฆษคำฉันท์ และมีการแข่งโคระแทะในงานเฉลิมฉลองสมโภชต่างๆ ต่อมาจึงมีการดัดแปลงลักษณะของการแข่งเกวียนที่เคลื่อนที่ไปได้ช้ามาเป็นใช้คนเล่น เพื่ออกกำลังกายและสนุกสนานร่วมกัน ปรากฏหลักฐานว่ามีการเล่นแข่งเกวียนคนกันแล้วในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่งหรุงรัตนโกสินทร์ ในงานเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ปัจจุบันยังมีการเล่นนี้อยู่บ้างในท้องถิ่นชนบทของภาคกลางทั่วไป เล่นได้ทุกโอกาสที่ว่าง และนิยมจัดให้มีการเล่นแข่งขันกันในงานรื่นเริงต่างๆ
ผู้เล่น
เล่นได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และมักเล่นกันเฉพาะในหมู่เด็กผู้ชาย โดยผู้เล่นจะต้องจับกันเป็นคู่ ตามปกติแต่ละคู่จะมีคนรูปร่างใหญ่คนหนึ่ง และคนรูปร่างเล็กคนหนึ่ง จำนวนผู้เล่นอย่างน้อยควรมีตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
ไม่ใช้
สถานที่เล่น
บริเวณสนามหญ้าพื้นเรียบโดยทั่วไป เช่น สนามโรงเรียน ลานวัด เป็นต้น โดยกำหนดเส้นยาวเป็นเส้นเริ่มต้น เว้นระยะห่างจากเส้นเริ่มต้นประมาณ ๒๐ – ๓๐ เมตร เขียนเส้นยาวเป็นเส้นชัย
วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นแต่ละคู่ยืนเตรียมพร้อมอยู่ที่หลังเส้นชัย ระยะห่างแต่ละคู่พอสมควร แต่ละคู่ให้ผู้เล่นคนที่มีรูปร่างใหญ่นอนคว่ำใช้มือและเท้ายันพื้นและโก่งตัวขึ้น ในลักษณะคล้ายท่าคลาน หันศรีษะไปทางเส้นชัย ผู้เล่นคนที่มีรูปร่างเล็กนอนหงายอยู่ใต้คนที่มีรูปร่างใหญ่ ใช้มือกอดคอ ใช้เท้ากอดเอวผู้เล่นที่มีรูปร่างใหญ่ไว้ ยกตัวขึ้นให้พ้นพื้น
๒. เมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มเล่น ให้ผู้เล่นแต่ละคู่คลานไปยังเส้นชัย
๓. ผู้เล่นคู่ใดคลานไปถึงเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ
กติกา
๑. แต่ละคู่จะต้องระวังไม่ให้คนที่ห้อยและคนที่คลานนั้นหลุดออกมาจากกัน หรือคนที่คลานล้มทับคนที่เกาะห้อยอยู่ซึ่งเรียกว่า “เกวียนหัก” จะถือว่าหมดสิทธิในการเล่น
๒. ให้มีกรรมการอย่างน้อย ๑ คน ทำหน้าที่ควบคุมการเล่นและตัดสินผลการแข่งขัน
แข่งกระทะ
ความเป็นมา
แข่งกระทะเป็นกีฬาพื้นเมืองที่เล่นกันอย่างแพร่หลายในจังหวัดสิงห์บุรีและอ่างทอง ในสมัยก่อนมีการเล่นสืบทอดกันมานานแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใด พบว่ามีการเล่นแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๐ แข่งกระทะที่นำเอาอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านสมัยก่อน คือ กระทะ มาเป็นเครื่องมือในการเล่นแข่งขันกัน กระทะที่นำมาใช้จะเป็นกระทะขนาดใหญ่ ใช้หุงหาอาหารเลี้ยงคนหมู่มากในงานรื่นเริงต่างๆ สันนิษฐานว่าเมื่อเสร็จจากการหุงหาอาหารแล้ว ชาวบ้านจะนำกระทะใบใหญ่เหล่านั้นไปล้างกันที่มน้ำลำคลองกระทะใบใหญ่ลอยน้ำได้ จึงเกิดความคิดดัดแปลงจัดให้คนนั่งใรกระทะแล้วพายแข่งขัน จึงเป็นกีฬาที่จัดเล่นแข่งขันกันเป็นที่สนุกสนานโดยทั่วไป ปัจจุบันการแข่งกระทะไม่เป็นที่นิยมเล่นกันแล้ว
โอกาสที่เล่น
นิยมเล่นแข่งขันกันในเดือน ๑๒ ซึ่งเป็นเดือนที่มีน้ำมาก โดยจัดเล่นกันในงานเทศกาล งานรื่นเริงต่างๆของชาวบ้าน
ผู้เล่น
ส่วนมากจะเล่นกันในหมู่ผู้ชาย ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก จำนวนผู้เล่นอย่างน้อย ๒ คนขึ้นไป
อุปกรณ์การเล่น
๑. กระทะใบใหญ่คนละ ๑ ใบ
๒. พายคนละ ๑ อัน บางแห่งไม่ใช้พายแต่ใช้มือพุ้ยน้ำแทน
สถานที่เล่น
เล่นกันในน้ำลำคลองหรือบ่อน้ำที่มีขนาดไม่กว้างใหญ่นัก ควรเป็นบริเวณที่มีพื้นน้ำเรียบ ไม่มีคลื่นมากนัก โดยกำหนดแนวเส้นเริ่ม และเส้นชัยในน้ำให้ห่างกันประมาณ ๒๐ – ๓๐ เมตร
วิธีเล่น
๑. ผู้เล่นแต่ละคนจะนั่งอยู่ในกระทะของตนเอง มือถือพายเตรียมพร้อมอยู่บริเวณแนวเส้นเริ่มให้ตรงกัน
๒. เมื่อได้สัญญาณเริ่มเล่น ให้ผู้เล่นแต่ละคนใช้พายจ้วงน้ำหรือพุ้ยน้ำให้กระทะเคลื่อนที่ไปยังเส้นชัยโดยเร็ว บางแห่งไม่ใช้พายแต่ใช้มือพุ้ยน้ำพากระทะเคลื่อนที่ไป
๓. ผู้เล่นคนใดนำกระทะไปถึงเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะ
กติกา
๑. ผู้เล่นทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น
๒. กระทะของผู้เล่นคนใดจมลงในน้ำขณะแข่งขัน จะถือว่าหมดสิทธิ์ในการแข่งขันและเป็นผู้แพ้
๓. ให้มีกรรมการอย่างน้อย ๑ คน ทำหน้าที่ควบคุมการเล่นให้เป็นตามข้อตกลงต่างๆ และตามกติกา และทำหน้าที่ตัด